เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2016 ที่ผ่านมา Canon ได้เปิดตัวกล้อง Canon EOS 5D Mark IV ซึ่งเป็นกล้อง DSLR รุ่นล่าสุดที่มาพร้อมเซนเซอร์ขนาดฟูลเฟรม 35 มม. และเป็นกล้องรุ่นต่อจาก Canon EOS 5D Mark III ซึ่งเคยวางจำหน่ายเมื่อปี 2012 เราลองมาดูรายละเอียดของกล้องรุ่นใหม่นี้กัน (เรื่องโดย Makoto Suzuki (Digital Camera Watch)) กล้องรุ่นต่อจาก Canon EOS 5D Mark III ที่ขายดีที่สุด
ไลน์ผลิตภัณฑ์ Canon EOS 5D ซึ่งเริ่มออกวางจำหน่ายครั้งแรกด้วยรุ่น Canon EOS 5D ไปเมื่อปี 2005 และถูกวางตัวให้เป็นกลุ่มกล้องฟูลเฟรมที่มีราคาย่อมเยานั้น นับเป็นรุ่นหลักที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในตระกูลกล้อง DSLR ของ Canon กล้องรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ถูกกำหนดให้เป็นทายาทรุ่นต่อจาก Canon EOS 5D Mark III ควบคู่กับ Canon EOS 5DS และ Canon EOS 5DS R ที่วางจำหน่ายในปี 2015 โดย Canon EOS 5D Mark III เป็นกล้องอีกรุ่นหนึ่งที่มีภาพความละเอียดสูง ทำให้ตอนนี้จำนวนกล้องทั้งหมดในกลุ่มนี้มีทั้งสิ้นถึง 3 รุ่นด้วยกัน
ชุดเลนส์ประกอบด้วย Canon EF 24-105mm f/4L IS II USM ซึ่งเป็นเลนส์ซูมมาตรฐานที่ถือได้ว่าเป็นเลนส์น้องใหม่ล่าสุดของเลนส์ Canon EF 24-104mm f/4L IS USM ที่ได้รับการปรับปรุงเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี และยังมาพร้อมกับกล้อง Canon EOS 5D รุ่นแรก อีกทั้งได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพในด้านความสมบุกสมบัน ความเชื่อถือได้ และการถ่ายทอดรายละเอียดที่ไร้ที่ติ แม้ในขณะที่ใช้คู่กับกล้องใหม่ล่าสุดที่มีจำนวนพิกเซลสูงมากๆ ก็ตาม ความละเอียดภาพ 30.4 ล้านพิกเซล สามารถใช้งานร่วมกับ Dual Pixel CMOS AF และการถ่ายภาพเคลื่อนไหวระดับ 4K 30p
เซนเซอร์ภาพเป็นเซนเซอร์ CMOS ฟูลเฟรม 35 มม. ที่มีความละเอียดประมาณ 30.4 ล้านพิกเซล และเป็นกล้องตัวแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Canon EOS 5D ที่สามารถใช้งานร่วมกับ Dual Pixel CMOS AF ได้ ด้วยเหตุนี้ คุณสมบัติต่างๆ เช่น การถ่ายภาพ Live View AF ที่รวดเร็วผ่านระบบ AF ตรวจจับแบบ Phase-difference ตามผิวของภาพ รวมถึงรูปแบบ DPRAW (Dual Pixel RAW) ที่แก้ไขคุณภาพของภาพถ่ายจึงพร้อมให้ใช้งานแล้วในขณะนี้ ขณะที่ช่วงความไวแสง ISO จะอยู่ระหว่าง ISO 100 – 32000 (ความไวแสง ISO แบบขยายสูงสุดถึง 102400)
คุณสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวระดับ 4K ที่ 25p/30p, Full HD ที่ 50p/60p และ HD ที่ 100p/120p ได้ และยังสามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหว HDR ในระดับ Full HD (ถ่ายภาพที่ 50p/60p, บันทึกภาพที่ 25p/30p) ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติ 4K Frame Grab ที่ให้คุณสามารถดึงภาพในเฟรมที่ต้องการจากภาพเคลื่อนไหว 4K ออกมาเป็นภาพนิ่งความละเอียด 8.8 ล้านพิกเซลได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันคุณสมบัติที่ใช้ถ่ายภาพนิ่งในระหว่างการบันทึกภาพเคลื่อนไหวได้ถูกยกเลิกไป เพื่อเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาฟังก์ชั่นการถ่ายภาพเคลื่อนไหวได้ดีมากยิ่งขึ้น
มาตรฐานที่ใช้สำหรับบันทึกภาพเคลื่อนไหว 4K คือมาตรฐาน 17:9 (DCI 4K) ที่ใช้งานได้หลากหลาย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า เราสามารถใช้การถ่ายภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบนี้สำหรับการถ่ายภาพยนตร์เพื่อการพาณิชย์ได้ โดยภาพเคลื่อนไหว 4K จะถูกบันทึกผ่านการครอปภาพทีละจุดบนพื้นที่ขนาด 4096 x 2160 พิกเซลบนเซนเซอร์ CMOS ในระหว่างการถ่ายภาพเคลื่อนไหว Dual Pixel CMOS AF ช่วยให้สามารถใช้งาน Movie Servo AF และสามารถกำหนดการตั้งค่าการติดตามตัวแบบด้วยตนเองได้อีกด้วย การประมวลผลภาพและประสิทธิภาพการถ่ายภาพต่อเนื่องที่สูงในระดับเดียวกับ Canon EOS-1D X Mark II
กล้องรุ่นนี้ได้พัฒนาประสิทธิภาพของระบบประมวลผลภาพให้ดียิ่งขึ้นด้วยระบบ DIGIC 6+ เช่นเดียวกับกล้อง EOS-1D X Mark II นอกจากจะลดจุดรบกวนแสงลงในระดับต่ำระหว่างการถ่ายภาพด้วยความไวแสง ISO สูงแล้ว ขณะนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าทำการแก้ไขความบิดเบี้ยวและ Digital Lens Optimizer (DLO) ภายในกล้อง ซึ่งก่อนหน้ามีให้ใช้งานเฉพาะในโปรแกรม Digital Photo Professional สำหรับเครื่องพีซีเท่านั้น ซึ่งทั้งสองฟังก์ชั่นดังกล่าวมีมาให้ในกล้อง EOS-1D X Mark II ด้วยเช่นกัน แต่ปัจจัยที่ทำให้ DLO ในกล้อง EOS 5D Mark IV แตกต่างไปก็คือ DLO ในกล้องรุ่นนี้สามารถใช้ขณะที่ถ่ายภาพในรูปแบบ JPEG นอกเหนือจากใช้ในกระบวนการปรับแต่งภาพ RAW ได้
นอกจากนี้ ความเร็วในการถ่ายภาพต่อเนื่องจะอยู่ที่ประมาณ 7 เฟรมต่อวินาที (fps) ซึ่งนับว่าเร็วกว่ากล้อง Canon EOS 5D Mark III ที่อยู่ที่ประมาณ 6 fps อีกทั้งสเปคกล้องรุ่นนี้ได้รับการพัฒนาให้เหนือกว่าสเปคของกล้อง EOS-1D X Mark II และ EOS 7D Mark II ในส่วนของกลไกการเคลื่อนไหวของกระจกจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์และเฟืองลูกเบี้ยว ซึ่งเริ่มใช้ในกล้องซีรีย์ Canon EOS 5DS ความละเอียดสูงเป็นครั้งแรก โดยจะช่วยลดการเปลี่ยนทิศทางของกระจกรองเพื่อให้ได้ความเร็วในระดับเฟรมต่อวินาทีที่เพิ่มสูงขึ้น และช่วยลดเวลาที่หน้าจอของช่องมองภาพเป็นสีดำให้สั้นลงอีกด้วย กล่องกระจก
เซนเซอร์ AF และ AE ในกล้องรุ่นนี้เหมือนกันกับในรุ่น EOS-1D X Mark II แต่หากเปรียบเทียบกับกล้อง Canon EOS 5D Mark III แล้ว พื้นที่จุด AF จะขยายเพิ่มขึ้นในแนวตั้ง จุด AF ทั้งหมดสามารถใช้กับค่า f/8 ได้ เช่น สามารถถ่ายด้วยระบบโฟกัสอัตโนมัติขณะถ่ายภาพที่ค่ารูรับแสงกว้างสุดที่ f/8 โดยใช้เลนส์ EF600mm f/4L IS II USM ที่ติดตั้งอยู่กับตัวขยายช่องมองภาพ 2 เท่าได้ นอกจากนี้ กล้องรุ่นนี้ยังมาพร้อมกับโหมดการถ่ายภาพแบบ Anti-flicker ที่ช่วยลดความไม่สม่ำเสมอในการเปิดรับแสงอันเกิดจากแสงที่สว่างจ้าได้
คุณสมบัติ Live View และการถ่ายภาพต่อเนื่องด้วย Servo AF ที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น
กล้องนี้นับเป็นรุ่นแรกในซีรีย์ EOS 5D ที่มีจอภาพด้านหลังแบบสัมผัส ที่ช่วยให้ Dual Pixel CMOS AF ทำงานโดยใช้การทำงานผ่านหน้าจอสัมผัส Dual Pixel CMOS AF ทำให้ระบบ AF ทำงานอย่างราบรื่นในระหว่างที่ใช้ AF แบบตรวจจับระยะตามระนาบภาพโดยให้ระบบการโฟกัสเข้าและออกที่เป็นธรรมชาติแม้แต่ในระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View และการบันทึกภาพเคลื่อนไหว ขณะที่ระบบ AF แบบตรวจจับ Phase-Difference ของกล้อง DSLR ไม่สามารถใช้งานได้ขณะบานกระจกเลื่อนขึ้น นอกจากนี้ ความยืดหยุ่นในระดับสูงที่มาพร้อมกับความสามารถในการโฟกัสอัตโนมัติบนพื้นที่ภาพถึง 80% ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนยังถือเป็นคุณสมบัติพิเศษที่สำคัญสำหรับการถ่ายภาพนิ่งอีกด้วย ผู้ใช้สามารถใช้การโฟกัสอัตโนมัติไปพร้อมกับการใช้ภาพมุมมองขยายใหญ่ใน Live View ได้ ซึ่งบางครั้งจะช่วยให้ผู้ใช้ที่ใช้การโฟกัสแบบแมนนวล (MF) ได้รับความสะดวกในการโฟกัสอัตโนมัติระหว่างการถ่ายภาพแบบ Live View หากต้องการทำเช่นนั้น ใน Live View ให้ใช้หน้าจอสัมผัสเพื่อเลื่อนกรอบ AF และขยายภาพ จากนั้นปรับตำแหน่งของเฟรมโดยใช้ปุ่ม Multi-Controller ที่อยู่ด้านหลังของตัวกล้อง และกดปุ่มชัตเตอร์ลงครึ่งหนึ่งเพื่อโฟกัสอัตโนมัติ
คุณสามารถถ่ายภาพต่อเนื่อง Servo AF ด้วยการตั้งค่าตามความเร็วในการถ่ายภาพที่ 4.3 fps และการตั้งค่าตามการติดตามที่ 3 fps ได้หากต้องการถ่ายภาพต่อเนื่องไปพร้อมกับการโฟกัสบนตัวแบบที่เคลื่อนไหวด้วย Live View การเปิดรับแสงจะถูกเปิดใช้งานด้วยม่านชัตเตอร์ชุดแรกขณะที่กระจกจะยังคงอยู่ในตำแหน่งขึ้น
ขีดจำกัดสำหรับสภาพแสงน้อยสำหรับการโฟกัสอัตโนมัติอยู่ที่ EV-3 ระหว่างการถ่ายภาพด้วยช่องมองภาพ และ EV-4 ระหว่างการถ่ายภาพ Live View
การปรับแต่งภาพอย่างละเอียดด้วย "Dual Pixel RAW"
กล้อง Canon EOS 5D Mark IV เปิดตัวสามฟังก์ชั่นใหม่ ได้แก่ การปรับแต่งภาพอย่างละเอียด, Bokeh Shift และการลดแสงหลอก โดยฟังก์ชั่นเหล่านี้จะใช้ประโยชน์จากข้อมูลของ Dual Pixel ที่เซนเซอร์ของกล้องได้บันทึกไว้ และจะนำมาใช้ในระหว่างกระบวนการปรับแต่งภาพด้วย DDP
ฟังก์ชั่นการทำงานของ Wi-Fi/NFC ยังนำมาใช้กับซีรีย์ 5D เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับกล้องในระยะไกลได้โดยใช้แอป Camera Connect สำหรับสมาร์ทโฟน และซอฟต์แวร์ EOS Utility สำหรับคอมพิวเตอร์ แม้ว่าจะสามารถถ่ายโอนไฟล์ได้โดยใช้เพียงกล้องเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถใช้ร่วมกับอุปกรณ์ส่งไฟล์ภาพไร้สาย (แยกจำหน่าย) เพื่อตอบสนองการใช้งานตามต้องการได้
ช่องมองภาพของกล้องมีกำลังขยายประมาณ 0.71 เท่า และครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 100% ที่จุดมองภาพประมาณ 21 มม. หน้าจอโฟกัสเป็นแบบติดแน่น (ไม่สามารถถอดเปลี่ยนได้) และ ช่องมองภาพอัจฉริยะ 2 ซึ่งแสดงข้อมูลได้มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับระดับอิเล็กทรอนิกส์และการตั้งค่าปัจจุบันของกล้อง ยังนำมาใช้ในกล้อง Canon EOS 7D Mark II และ Canon EOS-1D X Mark II อีกด้วย
วัสดุที่ใช้ในการผลิตทุกๆ ส่วนของกล้องมีการรีวิวไว้แล้วในการสร้างกล้อง Canon EOS 5D Mark IV ซึ่งทำให้ตัวกล้องที่หนักราว 800 กรัมนี้ (เฉพาะบอดี้กล้อง) มีน้ำหนักเบากว่ากล้องรุ่นก่อนหน้าที่หนักถึง 860 กรัม แต่ยังคงรักษาความสมบูรณ์แบบและความทนทานของตัวกล้องไว้ แบตเตอรี่ที่ใช้งานร่วมกันได้คือ ชุดแบตเตอรี่ LP-E6N/LP-E6 ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันกับที่ใช้ในกล้อง Canon EOS 5D Mark III และ Canon EOS 5DS/R และยังอาจใช้ในกล้อง Canon EOS 5D Mark II, Canon EOS 6D, Canon EOS 7D Mark II, Canon EOS 80D และ Canon EOS 70D ด้วย